วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. ยกตัวอย่างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในแต่ละประเภท คือ PAN , LAN , MAN , WAN พร้อม ภาพประกอบ
          1.1 PAN (Personal area network) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่อง คอมพิวเตอร์และข้อมูลทางเทคโนโลยีใกล้เคียงกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกันหนึ่งคน 





1.2 LAN (Local Area Network)ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างนัก     อาจใช้อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรืออาคารที่อยู่ใกล้กัน เช่น  ภายในมหาวิทยาลัย  อาคารสำนักงาน  คลังสินค้า หรือโรงงาน เป็นต้น  การส่งข้อมูลสามารถทำได้ด้วยความเร็วสูง และมีข้อผิดพลาดน้อย ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจึงถูกออกแบบมาให้ช่วยลดต้นทุนและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน 



           1.3 MAN (Metropolitan Area Network)ระบบเครือข่ายระดับเมือง เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดอยู่ระหว่าง Lan และ Wan เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้ภายในเมืองหรือจังหวัดเท่านั้น การเชื่อมโยงจะต้องอาศัยระบบบริการเครือข่ายสาธารณะ จึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคาร   เครือข่ายแวนเชื่อมโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารไม่สูง เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนในสาย เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนำแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล


              1.4 WAN (Wide Area Network)ระบบเครือข่ายระดับประเทศ หรือเครือข่ายบริเวณกว้าง เป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง เช่น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานทั่วโลก เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน อาจจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลกก็ได้ ในการเชื่อมการติดต่อนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันโดยปกติมีอัตราการส่งข้อมูลที่ต่ำและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาด การส่งข้อมูลอาจใช้อุปกรณ์ในการสื่อสาร เช่น โมเด็ม (Modem) มาช่วย






2. หากนักศึกษาต้องการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต น.ศ.คิดว่าจะมีกี่วิธีและ วิธีการใดบ้าง
                ปัจจุบันการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่นิยมใช้มี 5 ลักษณะ คือ
1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up
          เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เคยได้รับความนิยมในยุคแรก ๆ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บุคคล กับสายโทรศัพท์บ้านที่เป็นสายตรงต่อเชื่อมเข้ากับโมเด็ม (Modem) ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตต้องทำการติดต่อกับผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านหมายเลขโทรศัพท์บ้าน โดยผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะกำหนดชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) มาให้เพื่อเข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ต 
            
2.การเชื่อมต่อแบบ ISDN?(Internet Services Digital Network) 
        เป็นการเชื่อมต่อที่คล้ายกับแบบ Dial Up เพราะต้องใช้โทรศัพท์และโมเด็มในการเชื่อมต่อ ต่างกันตรงที่ระบบโทรศัพท์เป็นระบบความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอล (Digital) และต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ISDN จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ คือ ต้องติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ที่ให้บริการการเชื่อมต่อแบบ ISDN การเชื่อมต่อต้องใช้ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่จะใช้บริการนี้ อยู่ในอาณาเขตที่ใช้บริการ ISDN ได้หรือไม่ 

3.การเชื่อมต่อแบบ DSL (Digital Subscriber Line)
         เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยใช้สายโทรศัพท์ธรรมดา ที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตและพูดผ่านสายโทรศัพท์ปกติได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตแบบ DSL ก็คือ ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่ติดตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ให้บริการระบบโทรศัพท์แบบ DSL หรือไม่ บัญชีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในแบบ DSL การเชื่อมต่อต้องใช้ DSL Modem ในการเชื่อมต่อ ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย 

4.การเชื่อมต่อแบบ Cable 
         เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านสายสื่อสารเดียวกับ Cable TV จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อม ๆ กับการดูทีวีได้ โดยต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ ใช้ Cable Modem เพื่อเชื่อมต่อ ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย 

5.การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) 
         เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า Direct Broadcast Satellites หรือ DBS โดยผู้ใช้ต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ จานดาวเทียมขนาด 18-21 นิ้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณจากดาวเทียม ใช้ Modem เพื่อเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต

3. อธิบายความแตกต่างของ HUB และ Switch พร้อมภาพประกอบ  
                Switch และ Hub เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่เหมือนกับชุมสายให้กับระบบ Network โดยจะมีพอร์ต RJ-45 สำหรับการเชื่อมต่อสายแลนจากเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ โดยใช้วิธีการสลับสัญญาณที่จะส่งระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ เข้ามาให้ส่งข้อมูลหากัน
 Switch และ Hub เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่เหมือนกับชุมสายให้กับระบบ Network โดยจะมีพอร์ต RJ-45 สำหรับการเชื่อมต่อสายแลนจากเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ โดยใช้วิธีการสลับสัญญาณที่จะส่งระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ เข้ามาให้ส่งข้อมูลหากัน
 ด้วยเหตุนี้ทำให้ในปัจจุบันอุปกรณ์ Switch จึงได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในระบบเครือข่ายมากกว่า ฮับ (Hub)
Switch
Hub มีหน้าที่ในการจัดการสัญญาณที่ส่งมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์กระจายสัญญาณต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ทุกเครื่อง หากมีการส่งสัญญาณพร้อม ๆ กันจะทำให้ความเร็วของการส่งสัญญาณในระบบเครือข่ายลดลง ดังนั้น HUB จึงไม่เหมาะกับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เพราะมีปัญหาเรื่องความเร็วในการสื่อสาร
 ความแตกต่างระหว่าง Switch – Hub
Switch และ Hub จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ Switch จะมีระบบการจัดการที่ดีกว่า Hub
ทำให้สามารถทำงานด้วยความเร็วที่สูงกว่า สามารถรับและส่งข้อมูลได้พร้อมกัน อีกทั้งยังลดปัญหา
ของการเกิดการชนกันของข้อมูลในเครือข่ายได้ด้วย

4. อธิบายรูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Wi-Fi และ Wireless ว่าเหมือน หรือต่างกันอย่างไร พร้อมภาพประกอบ
Wi-Fi ( ย่อมาจาก wireless fidelity ) ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สายภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตรฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นผ่านตามมาตรฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา Wi-Fi certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา Wi-Fi certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับอุปกรณ์ Lan ไร้สายไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันจนติดปาก 
Wireless คือลักษณะของการใช้งานอุปกรณ์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม แปลตรงตัวว่าไร้สาย ฉะนั้นอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ติดต่อสื่อสารกันโดยไม่ใช้สายสัญญาณถือว่าอุปกรณ์นั้นเป็น Wireless เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเรียกอะไรก็เหมือนๆ กันครับไม่ผิด Wireless ก็ถูกครับ Wi-Fi ก็ถูกครับ 
สรุปก็คือ การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน ( LAN ) ที่ใช้สายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณและใช้งานได้ทุกที่ ที่มีสัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง
อ้างอิง : http://www.pantown.com/group.php?display=content&id=571&name=content9&area

5. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Wi-Fi คืออะไร มีรูปแบบการเชื่อมต่ออย่างไร  พร้อมภาพประกอบ
ภาพการเชื่อมต่อแบบ WiFi
Wi-Fi Network ขึ้นอยู่กับประเภทของคลื่น Wi-Fi ที่ใช้ และรวมถึงผู้ใช้มีเสาอากาศ หรือมีเครือข่ายอยู่ในสภาพเปิด หรือแม้กระทั่งอยู่ในตึกซึ่งมีสิ่งกีดขวางมากมาย เช่น กำแพง เฟอร์นิเจอร์ ตำแหน่งของสิ่งกีดขวางเหล่านั้น มีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของ Wi-Fi ได้ เพราะ Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ต่ำและไม่สามารถเจาะทะลุผ่านโลหะ น้ำ หรือวัตถุอื่นได้ โดยทั่วไปแล้ว Wi-Fi Network จะมีขอบข่ายอยู่ที่ 75 ถึง 150 ฟุตในสภาพแวดล้อมโดยทั่ว ๆ ไปของบ้าน ที่พักอาศัยหรือสำนักงาน
Hotspot เป็นบริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะไร้สายความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless LAN หรือที่เรียกกันว่า Wi-Fi ซึ่งในปัจจุบันมีการให้บริการกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแหล่งชุมชน ต่างๆ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาล การใช้บริการ Hotspot นี้ อาจจะต้องลงทุนสูง เพราะสองสิ่งหลักที่เราต้องมีก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook หรือ PDA และ Wireless LAN Card แต่หาก Notebook หรือ PDA บางรุ่นมี Wi-Fi ในตัวก็สบายไปหน่อยไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ข้อดีของการใช้ Wi-Fi ก็คือ สถานที่ที่บริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะที่เรียกกันว่า Hot Spot นี้จะบริการด้วย อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และสามารถยก office ไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟได้อย่างสบายๆ เพราะข้อมูลงานต่างๆนั้นก็จะเก็บไว้ใน Notebook ของอยู่แล้ว
Wi-Fi public hotspot คือ จุดที่ให้บริการ อินเทอเนตไร้สาย เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ต่อใช้งาน จุดที่ให้บริการมักจะเป็นพื้นที่สาธารณะที่คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เช่น สนามบิน โรงแรม คอพฟี่ชอฟ ผู้ใช้อาจจะต้องมีการจ่ายค่าบริการในการใช้ขึ้นกับข้อตกลงระหว่างผู้ใช้และผู้ให้บริการ คุณสมบัติที่จำเป็นของ Wi-Fi public hotspot คือ

ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายไม่ต้องมีการลง ซอร์ฟแวร์เพิ่มเติม
ผู้ใช้สามารถใช้งานได้จากหลากหลาย operating system (OS)
ผู้ใช้สามารถหาอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ง่ายในราคาถูก สามารถทำงานร่วมกับ hotspot ได้ 
ผู้ให้บริการ public hotspot ทุกแห่งจึงต้องเลือกเทคโนโลยีที่ได้เสถียร ได้รับการยอมรับมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทุกแห่งก็ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมาตรฐานคือ IEEE 802.11 หรือ Wi-Fi
โครงสร้างของ Wi-Fi Public Hotspot ประกอบไปด้วย สามส่วนหลักคือ 1) wireless access 2)hotspot gateway และ 3) authentication server

6. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านมือถือ มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด
วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์
1.             ติดตั้งโปรแกรม Nokia PC Suite (ทำตามหน้าจอไปเรื่อยๆ)
2.             ต่อสาย USB Cable ด้านหนึ่งกับโทรศัพท์ อีกด้านต่อเข้ากับ USB Port ของคอมพิวเตอร์
3.             ที่หน้าจอมือถือ จะแสดงข้อความว่าจะเชื่อมต่อแบบใด? (PC Suite, Printing & media, Data Strage) ให้เราเลือก PC Suite
4.             ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในส่วนของโปรแกรม Nokia PC Suite ให้คลิกเลือกไอคอน Connect to the Internet ดังภาพประกอบ

5. จะมีหน้าต่างแสดง One Touch Access และโปรแกรมจะเชื่อมต่อให้ทันที
6. ถ้าต้องการยกเลิกให้คลิกปุ่ม Disconnect


7.          หลังจากเชื่อมต่อได้แล้ว จะมีไอคอนเล็กๆ แสดงการเชื่อมต่ออยู่บริเวณ Taskbar ขวามือด้านล่าง
8.            ทดสอบเข้าโปแกรม Browser ที่คุณใช้งาน หรือลองเช็คอีเมล์ดูครับผม







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น